2553-10-29

ฉลาดอีกเรื่อง ::: ปัญหามา ปัญญาเกิด

เป็นผู้ที่ติดตามใช้บริการ OneNote ของ Microsoft มาตั้งแต่เรียนปริญญาโท
แต่ก็ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนพ้องร่วมใช้งานด้วยเท่าไหร่
และก็เคยขัดใจตลอดว่า ด้วยข้อดีของ OneNote ที่เค้าจะเซฟงานให้เราอัตโนมัติ (ลงใน drive C) มันก็เลยทำให้เราค้นคว้าอะไรก็หย่อนใส่ลงไปใน OneNote ได้สะดวก แต่พอใช้จริงจัง จะพบว่าปัญหาใหญ่ของเค้าก็คือ หากทำงานสองเครื่อง ก็ชักจะสับสนว่าจะมีวิธีการจัดเก็บข้อมูลยังไง และจะเอาข้อมูลที่เซฟไว้อัตโนมัติจากเครื่องแรกไปเปิดในเครื่องที่สองอย่างไร โดยไม่ต้องกอปปี้ไปมา

วันนี้ได้คำตอบแล้ว ว่าเราสามารถเก็บไว้ใน external drive ได้ด้วย และดียิ่งกว่านั้นคือ ไฟล์ที่เราจัดเก็บจะถูก sync ในเครื่องที่เราใช้งาน (หมายความว่า ก็จะสามารถมีไฟล์ back-up 3 แห่ง คือ ใน drive ของเรา และในเครื่องที่เราเปิดใช้ทั้ง 2 เครื่อง)
หากใครสนใจใช้งาน และพบปัญหาเดียวกัน สามารถอ่านขั้นตอนการแก้ปัญหาได้ที่เว็บของ David Rasmussen
ขอบคุณค่ะ
ป.ล. เค้าเตือนว่า หากเครื่องที่เราเอา external drive ไปจิ้มจุ่ม เป็นเครื่องสาธารณะ ไฟล์มันก็จะถูก synce ลงในเครื่องนั้นด้วย ดังนั้น ถ้าหากมีไฟล์เป็นความลับ ก็ระมัดระวังกันให้ดี :)

Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

Global Competitiveness 2010-2011

เมื่อเร็วๆ นี้นี่เอง (น่าจะประมาณเดือนกันยายน 2010) World Economics Forum เค้าได้รายงานความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ในรายงาน Global Competitiveness Index 2010-2011 แถมยังใจดีให้ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงานมาอ่านเล่นกันฟรีๆ ไม่เสียเงินซักบาท -- แค่อาจจะต้องเสียเวลาค่อนเดือนกับการนั่งอ่านพร้อมวิเคราะห์รายงานกว่า 500 หน้า!!

เราก็ไม่มีเวลาขนาดนั้น --ฟังดูเป็นเหตุผลที่ดีสำหรับความขี้เกียจ-- และทางผู้จัดก็ใจดีมากกว่านั้น ยังทำเป็นสรุป Highlights ให้เราได้อ่านกันแก้ท้องอืดท้องเฟ้อกันประมาณ 70 หน้า (ค่อยยังชั่ว)

สรุปคร่าวๆ จากหน้าแรกของเวบไซต์ WEF ได้ความว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ยังครองตำแหน่งประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกมากที่สุด ประเทศสหรัฐอเมริการ่วงจากอันดับที่ 2 ไปอยู่ตำแหน่งที่ 4 ประเทศที่ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 แทนที่ คือประเทศสวีเดน และตามมาด้วยประเทศเพื่อนบ้านของเพื่อนบ้านเรา ที่ไม่ต้องคิดมากว่าใคร - สิงคโปร์

เยอรมนี อยู่ในอันดับที่ 5 ตามมาด้วย ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และแคนาดา

ผู้จัดให้ข้อสังเกตว่าประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ยังคงครองตำแหน่งในระดับ Top 10 อยู่เหมือนเดิม

สำหรับใน South East Asia นอกเหนือจากสิงคโปร์แล้ว ฮ่องกงก็ยังก้าวอยู่แถวหน้า คืออันดับที่ 11 ส่วนอันดับที่ 26 คือมาเลเซีย (ตกลงมา 2 ตำแหน่ง) บรูไน อยู่ในอันดับที่ 28 (ขึ้นมาจากปีที่แล้วหลายขุมเหมือนกัน)

ประเทศไทย อยู่อันดับ 38!! ตกไปจากปีที่แล้ว 2 อันดับ

ที่เหลือ คือ อินโดนีเซีย 44(54) เวียดนาม 59(75) ฟิลิปปินส์ 85(87) ส่วนลาวกับพม่า หาไม่เจอ คิดว่าคงไม่มีใครส่งรายงาน

พวกเราคนไทย พอใจกับผลงานของตัวเองไหมคะ?


Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

2553-07-23

เป็นโรคเดียวกันหรือเปล่า


ช่วงนี้ แวะเข้า facebook ทีไร ก็จะเริ่มเห็นเพื่อนบ่นตัวเองกันใหญ่ ว่ามีอาการเสพติดเฟซบุ๊กขั้นรุนแรง
 


||| นอกเรื่อง ||| ไม่แน่ใจว่าราชบัณฑิตยสถานได้บรรจุคำนี้ลงไปหรือยัง เพราะเห็นสะกดกันหลากหลาย แม้แต่เราเองก็เช่นกัน บางทีก็ เฟซบุ๊ค เฟซบุค เฟซบุ๊ก - วันนี้ลองเสิร์ชดูเห็นมีแต่ข่าวที่ออกมาว่าทางราชบัณฑิตฯ เป็นห่วงเรื่องการใช้ภาษาไทยของเด็กไทย -- จริงๆ เสนอไอเดียว่าให้ราชบัณฑิตไปเปิดเพจในเฟซบุ๊ก เมื่อเด็กๆมีปัญหาจะได้เข้าไปถามได้ น่าจะดี
 
กลับมาที่ประเด็นที่จะว่ากันวันนี้ คืออาการที่วงการนักจิตวิทยาใช้ชื่อว่า FAD : Facebook Addiction Disorder อ่านไปอ่านมา อาการบ่งชี้ก็คล้ายคลึงกับการ "ติดเน็ต" ทั่วไป คือกระสับกระส่ายอยากจะเล่น อยากจะออนไลน์ทั้งวี่ทั้งวัน
แต่ที่น่าสนใจคือ มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้คนติดเฟซบุ๊ก ไว้ว่า เพราะการเข้าไปเล่นเฟซบุ๊กก่อใก้เกิดความรู้สึก อบอุ่น รู้สึกดีเหมือนได้เจอ ได้พูดคุยกับเพื่อนในชีวิตจริง และเชื่อมโยงไปถึงกลไกการทำงานของร่างกาย ว่าทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน "ออกซิโทซิน" ซึ่งเป็นการกระตุ้นความรัก ความผูกพัน* (แอบอ้างอิงจาก http://www.horoworld.com/)
 
||| นอกเรื่อง ||| ลองเสิร์ชดูว่า ไอ้ฮอร์โมนนี้มันคือ อะไร พบว่า oxitocin มันเป็น ฮอร์โมนที่ผลิตตรงต่อมใต้สมองพูหลัง มีผลทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัวระหว่างการคลอด ทำให้ทารกหลุดออกมาจากมดลูกได้ และยังทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเต้านมหดตัวเพื่อประโยชน์ในบีบน้ำนมออกมา ส่วนสำหรับปู้จาย เจ้าตัวนี้จะทำหน้าที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อรอบท่อที่จะนำอสุจิหดตัว เพื่อทำให้เกิดการหลั่งอสุจิขึ้น (แอบอ้างอิงจาก Biology 102)
 
ซึ่งจริงๆ แล้วหากมองในแง่ดี การเข้าถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์แบบนี้ ก็ทำให้เราประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตอยู่กับสังคมรอบตัวของเรา สามารถพูดคุย สื่อสาร กับเพื่อน หรือญาติพี่น้องที่อยู่ไกลแสนไกลได้ และสามารถร่วมแชร์ประสบการณ์ (ผ่านภาพถ่าย) ให้กับคนที่เราคิดว่าเค้าก็น่าจะอยากรู้ความเป็นไปในชีวิตเราได้  ||| ถ้าไม่อยากรู้ ก็แค่กด HIDE |||
 
 
แต่มองอีกแง่ - ที่เกิดกับตัวเอง ก็คือ เริ่มรู้สึกว่า สมาธิที่สั้นอยู่แล้ว เริ่มสั้นลงไปอีก - ถ้าควบคุมไว้ไม่ดี อาจส่งผลต่อหน้าที่การงาน ตลอดจนอนาคตของชาติบ้านเมืองได้
 
ขอส่งแรงใจพร้อมเตือนสติพี่น้องผู้อ่านทุกท่าน (รวมถึงผู้เขียน) ขอให้ใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูล แต่อย่าเผลอตกเป็นเครื่องมือของเฟซบุ๊กซะเอง
 
จบการรายงานข่าวเพียงเท่านี้
 
 

 

Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

2553-03-13

Dragon's Den : Version Thailand?

ได้ยินกระแสของรายการนี้ผ่านทางเฟซบุคมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสได้ชมซะที
ข้อเสียของรายการนี้คือ เป็นรายการทีวี!! (เอ๊ะยังไง) เพราะว่าเราไม่ชอบดูทีวีก็เลยไม่ได้มาดูรายการสดๆ

วันนี้พอจะมีเวลาเลยเสิร์ชหาดู เผื่อมีรายการให้ดูออนไลน์
และขอบคุณ WorkPoint ที่โพสต์เทปรายการไว้ให้ดู
เลือกดูตอนที่ สอง I like date ยังดูไม่จบหรอกนะ แค่ช่วงแรกก็มีนแล้ว

ดูแล้วก็คิดถึงรายการ Dragon's Den ทาง BBC
คล้ายกันหรือเปล่า http://www.bbc.co.uk/dragonsden/dragons/

อ้างถึง: TELEVISHOWS \ SME ตีแตก (ดูบน Google Sidewiki)

Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

2553-01-11

ทักษะ 10 อย่างที่นายจ้างยุคใหม่ต้องการ*

อ่านเจอบทความออนไลน์
คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา รวมถึงคนที่คิดว่าจะเปลี่ยนงาน

ลองทบทวนดูว่า พวกเรามีทักษะเหล่านี้กันมากน้อยแค่ไหน
(ตัดแปะมาจากเว็บ http://www.wallstreet.in.th/ ค่ะ)

1. ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
งาน หลาย ๆ อย่าง ที่เราต้องทำกันอยู่ทุกวัน แม้บางงานจะเรียกว่าเป็นงานรูทีน แต่ในรายละเอียดนั้น เรามักจะต้องเจอกับปัญหานานาชนิดไม่เว้นแต่ละวัน ไหนจะปัญหากับเพื่อร่วมงาน ปัญหากับลูกค้า ดังนั้น เราควรจะฝึกฝนทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าเจอเรื่องเล็กเรื่องน้อย ก็ฟ้องผู้จัดการ หรือปัดปัญหาไปให้คนอื่นเสียหมด

2. ทักษะการดูแลแก้ไขอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงานที่เราใช้อยู่เป็นประจำ
คงปฏิเสธไม่ได้ ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศแบบนี้ อุปกรณ์ไฮเทค เข้ามาอยู่ในสำนักงานกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมพิวเตอร์ ดังนั้น เราควรจะมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาง่าย ที่อาจเกิดขึ้นบ่อย ๆ ระหว่างที่เราใช้อุปกรณ์สำนักงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ การลงโปรแกรม หรือแม้กระทั่งเครื่องถ่ายเอกสาร ที่ใช้เป็นประจำ กระดาษหมด กระดาษติด สามารถจัดการได้ โทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ เกิดปัญหาเครือข่าย หรือฟังก์ชั่นการทำงานบางอย่างรวนไป ควรจะดูแลในเบื้อต้นได้

3. ทักษะทางด้านทรัพยากรมนุษย์
สำนักงานใหญ่ ๆ หลายแห่ง มีปัญหาในเรื่องของพนักงานไม่ถูกกัน ทำงานร่วมกันไม่ได้ ติดต่อกันไม่เข้าใจเป็นต้น ดังนั้นหากเราเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ รู้จักการบริการทรัพยากรมนุษย์ ในเบื้องต้น จะมีประโยชน์ต่อการทำงานมาก รู้วิธีการติดต่อ หรือจัดการเมื่อต้องทำงานร่วมกับบุคคลในประเภทต่าง ๆ

4. ทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์
นอกจากว่าคุณจะต้องมีความสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างง่าย ๆ เช่น โปรแกรม word, excel , photoshop และโปรแกรมพื้นฐานอื่น ๆ แล้ว ควรจะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลข่าวสารจาก WWW การส่งอีเมล์ หรือการดาวน์โหลดโปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรจะเรียนรู้การเขียนโปรแกรมง่าย ๆ บางอย่าง เช่น HTML

5. ทักษะที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นพิเศษ
ซึ่งทักษะดังกล่าวนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าเราเรียนมาทางไหน และจะประกอบอาชีพอะไร เช่น ต้องการเป็นพนักงานขาย ก็ควรจะได้รับการฝึกอบรมในเรื่องการขาย การดูแลลูกค้า นักประชาสัมพันธ์ อาจจะได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในเรื่องของภาษา เป็นต้น

6. ทักษะทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
จะเป็นการดียิ่งถ้าหากเราเป็นคนที่เก่งคณะศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะประกอบอาชีพเกี่ยวกับวิศวกรรม การแพทย์ หรือในสาขาที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ

7. ทักษะการจัดการด้านการเงิน
ผู้ที่มีการวางแผนทางด้านการเงินที่ดี จะได้เปรียบ ปัจจุบันนี้ คนในวัยทำงานจำนวนมาก คำนึกถึงเรื่องของการเก็บออมเพื่อใช้ในช่วงเกษียณกันแล้ว ถ้าหากว่า เราไม่รู้จักบริการการเงินให้ดี จนถึงขั้นต้องกู้หนี้ ยืมสินแล้ว จะกลายเป็นจุดด่างในการงานไปเลยก็ว่าได้

8. ทักษะในเรื่องของการจัดการข้อมูล
เนื่องจากว่ายุคนี้เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การจัดการข้อมูลของตนเองที่มีอยู่จึงเป็นเรื่องสำคัญ ในยุคนี้ ข้อมูลที่รวดเร็ว สามารถช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้อง ดังนั้น เราควรจะมีการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน ให้สามารถเข้าถึง เป็นหมวดหมู่ และค้นหาได้ง่าย

9. ทักษะในการบริหารธุรกิจ
เราอาจจะไม่ต้องถึงขนาดไปเรียน MBA เอาแค่ว่า เข้าอบรมระยะสั้น หรือหาตำราในการบริหารมาอ่านสักหน่อย ก็น่าจะไหว เราจะเห็นได้ว่า ธุรกิจใหญ่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เขาจะมีระบบการจัดการและการบริหารที่ดีด้วย ถ้าหากเรามีความรู้ในเรื่องการบริการ เราก็จะสามารถเข้าใจในนโยบายการจัดการต่าง ๆ ของทางบริษัทได้ด้วย

10. ทักษะด้านภาษาต่างประเทศ
ถ้าเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว มักจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าหากเราสามารถพูดภาษาอื่น ๆ ได้อีกด้วย ก็ยิ่งจะเป็นที่น่าสนใจ ปัจจุบันนี้ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดสาขาในเมืองไทยเยอะ ภาษาอังกฤษ แน่นอนว่ามีความสำคัญ แต่ถ้ายิ่งสามารถพูดภาษาของเจ้าของบริษัทได้อีกด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ อย่างเช่นภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาเยอรมัน เป็นต้น


Credit : http://nationejobs.com
Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

2553-01-06

A puzzle of small world

: whether near or far, one can be traced within six spans.
หลายคนคงเคยได้ยิน หรือได้อ่านเรื่อง Six Degree of Seperation ที่บอกว่า คนบนโลกนี้สามารถรู้จักกัน โดยผ่านสะพานความสัมพันธ์ไม่เกิน 6 ช่วง ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ แต่เป็นทฤษฎีที่มีนักวิทยาศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ และนักจิตวิทยาฝั่งโลกตะวันตกทำการศึกษา และทำวิจัยกันเป็นเรื่องเป็นราว
ลองคิดง่ายๆ ถึงคนที่เราคิดว่าไม่น่าจะรู้จัก แต่สุดท้าย เค้ากลายเป็นเพื่อนของพี่ชาย คนที่เราแอบมองบนรถไฟฟ้า กลายเป็นหลานสาวของน้าเขย คนที่เราแอบคุยออนไลน์ กลายเป็นเพื่อนของพี่ชาย ฯลฯ
บางคนเรียกปรากฏการณ์เหล่านี้ว่าเป็นพรหมลิขิต หรือเป็นโชคชะตา แต่เนื่องจากเราเป็นนักวิชาการ ก็พบว่าเรื่องแบบนี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ปรากฏการณ์โลกใบเล็ก” หรือ Small World Phenomenon

เท่าที่ Google ดู เรื่องแบบนี้ถูกกล่าวขึ้นครั้งแรกในงานเขียนของนักประพันธ์ชาวฮังกาเรียน ชื่อ นายฟริกเยส คารินธี่ย์ Frigyes Karinthy ผ่านผลงานเรื่องสั้นที่ชื่อว่า Chain Links เขาเชื่อว่า ไม่ว่าจะสุ่มชื่อใครคนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยขึ้นมาก็จะสามารถทำให้คนสองคนนี้รู้จักกันได้โดยอาศัยความสัมพันธ์ไม่เกิน 5 ช่วง* จากนั้นก็มีการศึกษาผ่านนักวิชาการหลายท่าน อาทิ ศ.ดร.สแตนลี่ย์ มิลแกรม (Stanley Milgram, 1933-1984) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หรือ ศ.ดันแคน วัตต์ (Duncan Watt)แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก็ทำการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ในบริบทที่หลากหลาย

ที่เด็ดๆ ที่อ่านเจอ มีคนได้ทำการทดสอบใน Facebook โดย Mr.Karl Bubyan เขาได้ชักชวนคนมาร่วมการทดลองนี้ จากการกลุ่มที่สนใจซึ่งมีขนาดประมาณ 300,000 คน ปรากฏว่าค่าเฉลี่ยของ Degree of separation อยู่ที่ 4.67 ทำให้ตัวอย่าง 1 คน (ชื่อ Mr. Ryan Dosetareh) สามารถเชื่อมโยงกับทุกคนในเครือข่ายได้โดยไม่เกิน 5 link แล้วถ้าประชากรบนโลกจริงมีอยู่ราว 6 พันกว่าล้านคนเมื่อนำตัวเลข 6 พันล้านมาถอดรากที่ 6 จะมีค่าอยู่ประมาณ 43 กว่าๆ ดังนั้นถ้าเราเอา 44 มายกกำลัง 6 มันจะได้ 7,256,313,856 คำถามคือ คุณมีคนรู้จักมากกว่า 44 คนไหม? ถ้าใช่ก็แปลว่า “คุณสามารถรู้จักคนทั้งโลกนี้ได้โดยไม่เกิน 6 link” แล้วมันจะมีประโยชน์อย่างไร สามารถนำมาประยุกต์อะไรต่อได้ไหม เราพร้อมที่จะรู้จักคนทั้งโลกแล้วหรือยัง แล้วคุณหละคิดอย่างไร*

อ่านแล้วงงๆ เนอะ
มีตัวอย่างให้เล่นง่ายๆ ลองสมมติดูก็ได้ ว่า จากเรา จนไปถึง President Obama ต้องผ่านสะพานกี่ทอด

สำหรับเรา 1. ตัวเรา --> 2. น้าสาวทำงานอยู่บริษัทเอกชนที่ดำเนินการเลือกตั้งที่แคลิฟอร์เนีย --> 3. น้าสาวมีนายรู้จักกับผู้ว่าการรัฐ --> 4. ผู้ว่าการรัฐรู้จักท่านประธานาธิบดี --> 5 เยส..! ถึงตัวโอบามาแล้ว

ลองเล่นกันดูนะคะ แล้วมาแชร์กันว่า ต้องใช้สะพานกี่ทอด ถึงจะพาคุณไปฝั่งฝัน






ขอบคุณข้อมูล
*wisehow.com
**Janghuman Weblog
Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo

New Year Resolution

ปีใหม่อีกแล้วหรือนี่
ทำไมพอตัวเลขของอายุเพิ่มขึ้น ความกระตือรือร้นกลับลดลง .. หรือว่านี่เป็นสัญญาณอันตราย

ตั้งใจว่าจะจดบันทึกเล็กบันทึกน้อยทุกวัน แต่สุดท้ายก็เขียนบ้างไม่เขียนบ้าง

เอาหล่ะ เพิ่งเสียเวลาไป 6 วัน ยังพอแก้ตัวได้ทัน

ไม่อยากสัญญาว่าจะมาทุกวัน
แต่ก็จะพยายามมาเป็นประจำ
Add To Google BookmarksStumble ThisFav This With TechnoratiAdd To Del.icio.usDigg ThisAdd To RedditTwit ThisAdd To FacebookAdd To Yahoo